การตั้งชื่อรองเท้าของ New Balance เกิดขึ้นในปี 1961 เป็นรองเท้าวิ่งรุ่นแรกที่ชื่อ “Trackster” จากนั้นกิจการมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในปี 1976 บริษัท New Balance เริ่มขยายตลาดมาเป็นแบรนด์ระดับโลกในฐานะรองเท้าวิ่งระดับ Serious Runner หรือนักวิ่งที่จริงจัง แบรนด์เน้นไปที่รองเท้าวิ่งที่ออกแบบมาสำหรับนักวิ่งที่มีความหลากหลาย ซึ่ง Terry Heckler หนึ่งในนักออกแบบของแบรนด์เกิดไอเดียขึ้นมาว่า การที่มีรองเท้าที่มีความหลากหลายขนาดนี้ถ้ามัวมานั่งคิดชื่อเท่ๆ เหมือนแบรนด์อื่นๆ ก็คงไม่เวิร์ค เขามองว่าสิ่งที่ New Balance ทำเป็นอะไรที่แตกต่างจากเจ้าอื่นๆ และเขาไม่ต้องการให้มีคำอะไรมารบกวนชื่อแบรนด์ New Balance การใช้ตัวเลขจะทำให้ทุกคนจะเรียกรองเท้าโดยมีคำว่า New Balance นำหน้าเสมอ และสามารถจำแนกรุ่นย่อยต่างๆ ได้มาก ซึ่งรุ่นแรกที่ใช้ตัวเลขก็คือ New Balance 320
#atmosentourage #atmos #atmosthailand #atmosbangkok #newbalance
ชื่อรุ่นของ New Balance จะประกอบด้วยตัวเลข 3 - 4 หลัก โดยตัวเลขแรกจะบ่งบอกถึงระดับเทคโนโลยีและวัสดุของรองเท้า ตัวเลข 1-2 ตัวแรกยิ่งมากขึ้นยิ่งแสดงถึงเทคโนโลยีที่มากขึ้นและวัสดุที่พรีเมียมขึ้น ส่วนตัวเลขหลักที่ถัดมา 2 ตำแหน่งท้ายจะบอกความพิเศษเฉพาะลงไป มีความหมายไม่แน่นอนตายตัว เช่น 375 ต่างกับ 390 ตรงที่ 390 มีพื้นรองเท้าที่สามารถวิ่งได้ทั้งทางถนนและทางลูกรัง หรือ 375 เป็นรุ่นสำหรับผู้ชายส่วน 376 เป็นรุ่นสำหรับผู้หญิงเป็นต้น
โดยรุ่นรองเท้าของ New Balance อาจแบ่งได้เป็น 3 ยุคคือยุคช่วง 1976 - 1990 จะเน้นที่ตัวเลข 1-2 ตัวแรกในการบ่งบอกระดับเทคโนโลยี เลขยิ่งสูงเทคโนโลยียิ่งเยอะ ราคายิ่งสูง ต่อมาในยุค 1990 - 2000 จะเป็นยุคที่มีการต่อยอดดีไซน์จากรุ่นดั้งเดิมซึ่งจะมีการใช้เลข 2 หลักสุดท้ายเพื่อบอกถึงเทคโนโลยีที่แตกต่างออกไป หรือแหล่งในการผลิต ส่วนรองเท้าวิ่งตั้งแต่ปี 2000 ถึงปัจจุบันก็จะมีการใช้เลข 2 ตัวท้ายมาใช้บอกสไตล์ของรองเท้าวิ่งรุ่นนั้นๆ
สำหรับสายสนีกเกอร์แน่นอนว่าก็ย่อมต้องสนใจในรองเท้ารุ่น Classic ย้อนยุค โดยซีรีส์ที่เรามักพบเห็นกันบ่อยๆ ก็อย่างเช่น “300 Series” จะเป็นรองเท้าวิ่งที่เน้นความเบา , “400 Series” จะเป็นรองเท้าวิ่งที่เน้นความสบายในการสวมใส่ ถ้า “500 Series" จะมีเทคโนโลยีที่สูงขึ้นอย่าง Encap หรือ Rollbar สำหรับรองเท้าหมวดกิจกรรมกลางแจ้ง ส่วน “600 Series” เป็นรองเท้า racing ใส่แข่งขัน เน้นความเบา รุปทรงเพรียวบาง และ “700 Series” จะคล้ายๆ 600 Series ที่เพิ่มการรองรับแรงกระแทกมากขึ้นรวมไปถึงรองเท้าในหมวดหมู่กิจกรรมกลางแจ้งที่ใช้พื้นฐานเทคโนโลยีในระดับเดียวกัน “800 Series” เป็นรองเท้าแนวไลฟ์สไตล์ข้องกิ้งในยุค 90s ที่รวมเทคโนโลยีมากมายอย่าง ABZORB, C-Cap และ Rollbar มาพร้อมดีไซน์ที่ใหม่หมด
ถัดมาเป็น “900 Series” เป็นรองเท้ารุ่นท็อปที่สืบทอดดีไซน์แบบคลาสสิคของ New Balance ดั้งเดิม มีหน้าตาที่ร่วมสมัย ผสมผสานความเป็น NB ยุคเก่ากับยุคใหม่เอาไว้ได้เป็นอย่างดี แต่ละรุ่นจะใส่เทคโนโลยีที่ดีที่สุดของ NB ในแต่ละยุค ผลิตด้วยวัสดุระดับพรีเมียมอย่างหนังกลับ Pig Suede โดย 900 Series ปัจจุบันหลักๆ จะเป็นเป็น New Balance ที่ผลิตในสหรัฐอเมริกา (Made In USA) แต่บางรุ่นที่ลงท้ายด้วยเลข “1” เช่น New Balance 991 จะเป็นโมเดลที่ผลิตในอังกฤษ (Made In UK) ส่วน V2 , V3 ก็คือเวอร์ชันต่างๆ ที่รองเท้าทำออกมา อย่าง 1080v13 ก็คือ 1080 รุ่นที่ 13 นั่นเอง
ส่วน “1000 Series” จะเป็นรองเท้าวิ่งในเทคโนโลยีสูง และมาพร้อมวัสดุในระดับพรีเมียม รุ่นดังจากซีรี่ส์นี้ก็อย่างเช่น New Balance 1500 ในปี 1989 , New Balance 1300 ปี 1985 , New Balance 1906 xu 2009 และโมเดลที่เพิ่มนำกลับมาทำใหม่อย่าง New Balance 1000 ปี 1999 นอกจากนี้ก็ยังมีรองเท้า “2000 Series” ซึ่งจะเป็นโมเดลที่มีการออกแบบเฉพาะตัวบางอย่างที่แยกออกมาซีรี่ส์ที่มีอยู่อย่างเช่น New Balance 2002 ปี 2001 ก็เป็นเหมือนวอร์ชันอัพเกรดความหรูหราของ New Balance 1906
ส่วนในสายวิ่งยุคปัจจุบันยังคงใช้ระบบเลขหน้ายิ่งมากเทคโนโลยียิ่งสูง แต่จะเพิ่มความหมายของเลข 2 ตัวท้ายเพื่อสื่อประเภทของรองเท้า โดยรุ่นที่ลงท้ายด้วย “40” จะบาลานซ์ระหว่างความการซัพพอร์ต ,ความมั่นคง และการรองรับแรงกระแทกที่พอๆ กัน , “50” จะเป็นแนว Fitness Running ใส่วิ่งก็ดีใส่ออกกำลังกายก็ได้ , “60” จะเป็นรองเท้าแนว Stability ที่มีความมั่นคงและรองรับบริเวณอุ้งเท้า , “70” จะเป็นแนว Light Stability เน้นความมั่นคงและมีน้ำหนักเบา ส่วน “80" จะเป็นสาย Neutral เน้นการรองรับแรงกระแทกเยอะ ตัวอย่างเช่น New Balance 860 จะเป็นรองเท้าวิ่งสาย Stability เน้นความมั่นคง แต่ถ้าเป็น New Balance 880 จะเป็น Cushion ที่มีความนุ่มขึ้น แต่ถ้าจะนุ่มขึ้นไปอีกก็เป็น New Balance 1080 อะไรทำนองนี้ แต่รองเท้าวิ่งที่เป็น Product Line ใหม่ๆ ก็จะไม่ค่อยใช้เลขในการใช้การตั้งชื่อรุ่นแล้ว แต่จะใช้เป็นชื่อเทคโบโลยีที่ใช้กับชื่อรุ่นเฉพาะต่างๆ แทนอย่างเช่น FuelCell Rebel , Fresh Foam X Trail More และ FuelCell SuperComp Elite เป็นต้น
ส่วนในรองเท้ากลุ่มไลฟ์สไตล์โมเดลใหม่ยังคงมีการใช้ชื่อรุ่นเป็นตัวเลขอยู่โดยมักจะเป็นเลขที่สะท้อนถึงรากฐานที่มาของการออกแบบอย่างเช่น New Balance 9060 ที่บ่งบอกแรงบันดาลใจในการออกแบบมาจาก 900 Series และใช้เทคโนโลยีที่ต่อยอดจาก New Balance 860 หรืออีกตัวอย่างคือ New Balance 327
ซึ่งนำเอาแรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากรองเท้าซีรีส์ 3XX ในยุค 70’s อย่าง New Balance 320 , New Balance 355 และ New Balance SuperComp อีกตัวอย่างเช่น New Balance 1906 R ซึ่งเป็นการหยิบเอารองเท้าวิ่งตัวท็อปในปี 2010 โดยนอกจากชื่อรุ่นจะบ่งบอกเทคโนโลยีในระดับสูงแล้วยังสื่อถึงปี 1906 อันเป็นปีที่ New Balance ก่อตั้งแบรนด์อีกด้วย ส่วนตัว R ที่ต่อท้ายรุ่นเพื่อบงบอกว่าเป็นรุ่นเรโทรทำใหม่ใส่พื้นรองเท้าที่ต่างออกไปจากรุ่นดั้งเดิม